ปวดท้องเมนส์ จุดเริ่มต้น’มะเร็งมดลูก’
มะเร็งมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงไทย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้หากตรวจพบและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
อาการของมะเร็งมดลูก
อาการของมะเร็งมดลูกที่พบบ่อยที่สุดคือ เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด นอกเหนือจากประจำเดือน เช่น

- ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- มีเลือดออกหลังหมดประจำเดือน
- มีเลือดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์
อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น

- ปวดท้องน้อย
- ปัสสาวะบ่อย
- ท้องอืด
- น้ำหนักลด
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งมดลูก
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งมดลูก ได้แก่

- อายุ: ยิ่งอายุมาก ยิ่งเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูก
- ประจำเดือนมาเร็ว: หากประจำเดือนมาเร็ว (ก่อนอายุ 12 ปี) จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูก
- หมดประจำเดือนช้า: หากหมดประจำเดือนช้า (หลังอายุ 55 ปี) จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูก
- ไม่เคยมีบุตร: ผู้หญิงที่ไม่เคยมีบุตรมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงที่มีบุตร
- โรคอ้วน: โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งมดลูก
- พันธุกรรม: หากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งมดลูก จะมีความเสี่ยงสูงกว่า
การวินิจฉัยมะเร็งมดลูก
การวินิจฉัยมะเร็งมดลูกสามารถทำได้โดย

- การตรวจภายใน: แพทย์จะทำการตรวจภายในเพื่อตรวจดูความผิดปกติของมดลูก
- อัลตราซาวนด์: แพทย์จะใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจดูความผิดปกติของมดลูก
- การตรวจชิ้นเนื้อ: แพทย์จะเก็บชิ้นเนื้อจากมดลูกไปตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
การรักษามะเร็งมดลูก
การรักษามะเร็งมดลูกขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย โดยทั่วไป การรักษา ได้แก่

- การผ่าตัด: การผ่าตัดเพื่อตัดมดลูกและรังไข่ออก
- การฉายรังสี: การฉายรังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
- เคมีบำบัด: การให้ยาเคมีบำบัดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
ป้องกันมะเร็งมดลูก
ไม่มีวิธีใดที่จะสามารถป้องกันมะเร็งมดลูกได้อย่างแน่นอน แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดย

- ควบคุมน้ำหนัก
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ตรวจภายในเป็นประจำ (อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง)
ร่วมตรวจมะเร็งปากมดลูกฟรีกับสปสช.!!
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่
